พ่อผู้ให้กำเนิดความศิวิไลซ์แก่เมือง Nobeoka - Shitagau Noguchi6. ก่อสร้างโรงงาน Nobeoka และวางรากฐานพัฒนาเมือง

มองหาทำเลที่ตั้งสำหรับโรงงานแห่งใหม่

หลังจากกลับจากยุโรป ในปี ค.ศ. 1922 Noguchi วางแผนที่จะสร้างโรงงานสังเคราะห์แอมโมเนียกระบวนการ Casale ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความตั้งใจให้อยู่ติดกับโรงงาน Kagami ในจังหวัด Kumamoto

ในเวลานั้นปุ๋ยที่ผลิตในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นแอมโมเนียมซัลเฟตที่มีราคาแพง มีการนำเข้าแอมโมเนียมซัลเฟตที่มีราคาถูกจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เขาจึงต้องผลิตแอมโมเนียมซัลเฟตซึ่งมีราคาถูกและคุณภาพดีกว่าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างโรงงานเพื่อสังเคราะห์แอมโมเนียกระบวนการ Casale ขึ้นมาใหม่
วิธีการผลิตที่ว่าคือการทำแอมโมเนียมซัลเฟต โดยสังเคราะห์น้ำและอากาศเพื่อทำแอมโมเนียแล้วนำไปทำปฏิกิริยากับกรดซัลฟูริก ถึงแม้ว่าจะมีการผลิตแอมโมเนียมซัลเฟตอยู่ก่อนแล้วที่โรงงาน Kagami จึงถูกคัดค้านจากเกษตรกรและชาวประมงเนื่องจากเกรงว่าอาจเกิดอันตรายจากโรงงานสังเคราะห์แรงดันสูง

พิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่จัดขึ้นที่โรงงาน Kagami เมื่อวันที่ 10 มีนาคม แต่เนื่องจากปัญหาการระบายน้ำจึงไม่ได้รับการอนุมัติจากท้องถิ่นและต้องยกเลิกการก่อสร้างโรงงาน เขาจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสิทธิบัตรจากต่างประเทศ แต่ไม่มีที่ตั้งที่จะสร้างโรงงานก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะหาสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างโรงงานแห่งใหม่

เงื่อนไขในทางธรรมชาติที่สมบูรณ์พร้อมของ Nobeoka

น้ำและอากาศที่อุดมสมบูรณ์และพลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลมากเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการผลิตแอมโมเนีย Nobeoka บ้านเกิดของเรายังมีชื่อเสียงขึ้นชื่อขจรไกลในนามว่า “โนเบะโอคะเมืองแห่งลุ่มน้ำ”
ไฟฟ้าจำนวนมากสามารถหาได้จากการพัฒนาแหล่งทรัพยากรน้ำของระบบน้ำ จากแม่น้ำ Gokase ที่ไหลจาก Takachiho, Hinokage และ Kitakata ไปยัง
Nobeoka จึงเป็นไปไม่ได้ที่ Noguchi นักบุกเบิกที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นที่ทำงานพัฒนาพลังงานไฟฟ้าและสร้างเขื่อนมาแล้วมากมายจะมองข้ามที่แห่งนี้ไปได้ Nobeoka เป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในการทั้งในด้านการจัดหาน้ำ อากาศและไฟฟ้าซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ย

  • อุปกรณ์จับปลาอะยุ (Ayuyana) ทัศนียภาพที่มักพบเห็นใน Nobeoka

ก่อตั้งบริษัท Gokase River Electric Power

สามปีก่อนที่จะมีการวางแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่โรงงาน Kagami กล่าวคือในฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1919 Yoichi Nagamine สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด Miyazaki ได้รณรงค์เชิญชวนให้มีการพัฒนาไฟฟ้าเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มาสร้างโรงงานในจังหวัด Miyazaki โดย Yoichi Nagamine ได้เดินทางเข้าพบ Tokugoro Nakahashi (ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการคนแรกของบริษัท Nihon Chisso Hiryo) แห่งพรรค Seiyukai (พรรคการเมืองในเวลานั้น) และกล่าวว่า “ผมอยากจะขอความร่วมมือและเชิญชวนมาสร้างโรงงานในจังหวัด Miyazaki เรา” พร้อมกับอธิบายถึงข้อดีของการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแม่น้ำ Gokase

Nakahashi จึงได้แนะนำไปว่า “มีผู้ประกอบการที่ยอดเยี่ยมชื่อ Shitagau Noguchi ที่บริษัท Nihon Chisso Hiryo ให้ไปเข้าพบและพูดคุยกับเขาดู” เมื่อได้พบและพูดคุยกับ Noguchi จึงเกิดการตัดสินใจที่จะ “ดำเนินการสำรวจในทันที”
จากผลสำรวจพบว่าการเหมาะที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าอย่างมาก ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1920 จึงได้ก่อตั้งบริษัท Gokase River Electric Power ที่ตำบล Shinmachi ใน Nobeoka และตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้าที่ Hinokage ผู้ที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนกับ Yoichi Nagamine ในเวลานั้นคือ . Yaemon Yamamoto สมาชิกสภาหมู่บ้านของพื้นที่ Hirabaru ในหมู่บ้าน Tsunetomi

ในเวลานั้น Nobeoka เป็นชนบทถิ่นกันดารที่ไม่มีทางรถไฟ ใช้รถม้าเป็นพาหนะหลักซึ่งไม่สะดวกเสียเลย เป็นยุคสมัยที่ใช้เรือและรถม้าในการเดินทางไปมาระหว่าง Miyazaki และ Nobeoka
โรงไฟฟ้าสร้างเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคมในปี ค.ศ. 1925 จากนั้นถูกซื้อกิจการโดย บริษัท Nihon Chisso Hiryo ผลิตและส่งกระแสไฟฟ้า 12,000 กิโลวัตต์ไปยังโรงงานปุ๋ยที่ Nobeoka

  • โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแม่น้ำ Gokase (ปัจจุบันคือตำบล Hinokage)

ดึงดูดนักลงทุนสร้างโรงงานและความพยายามของอาสาสมัครในพื้นที่

ก่อนหน้านี้. Noguchi เล่าว่าได้พยายามสร้างโรงงานสังเคราะห์แอมโมเนียกระบวนการ Casale ที่โรงงาน Kagami ในจังหวัด Kumamoto แต่ไม่สำเร็จและได้ก็ล้มเลิกแผนดังกล่าว
เขาไปเยือน Nobeoka ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1922 เพื่อหาสถานที่ตั้งโรงงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ที่โรงไฟฟ้าแม่น้ำ Gokase กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ในเวลานั้น Nobeoka เป็นชนบทที่มีทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาและมีสิ่งจำเป็นสำหรับการก่อสร้างโรงงานอย่างครบครัน คนแรกที่ Noguchi ได้พบที่ Nobeokaคือ Yaemon Yamamoto กรรมการบริหารบริษัท Gokase River Electric Power (สมาชิกสภาหมู่บ้าน Tsunetomi) จากนั้นก็ไปที่สำนักงานหมู่บ้าน Tsunetomi ได้พา Noguchi ไปที่ภูเขา Atago เพื่อชมทิวทัศน์โดยรอบของเมือง Noguchi เอาไม้เท้าที่ถือมาชี้ไปยังบริเวณที่ตั้งของโรงงานชื่อYakuhin ในปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่ Tsunetomi แล้ววาดเป็นวงกลมรอบ ๆ พร้อมกับพูดว่า “ผมต้องการพื้นที่ประมาณนี้” ซึ่งผู้คนที่ติดตามมาด้วยต่างพากันตกใจกับขนาดที่เขาบอก

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม Noguchi กลับไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท Nihon Chisso Hiryo ที่โอซากาเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับที่ตั้งสำหรับสร้างโรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ และได้มีบทสรุปอย่างเป็นทางการว่า “จะสร้างโรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ของ Nihon Chisso Hiryo ที่ Nobeoka”

ตอนที่ Noguchi จะสร้างโรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ใน Nobeoka จะเห็นได้ว่าอาสาสมัครในพื้นที่ต่างก็ให้ความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน
อาสาสมัครในพื้นที่ดังกล่าว คือ Ikuji Hiyoshi ผู้ใหญ่บ้าน Tsunetomi, Yaemon Yamamoto สมาชิกสภาหมู่บ้าน, Tadami Miyake, Teruo Shiga, Toyoji Monma, Washitaro Kasahara เป็นต้น
ทุกท่านที่ได้กล่าวมานี้อธิบายถึงความสำคัญของการดึงดูดนักลงทุนให้มาสร้างโรงงานในที่ประชุมสภาหมู่บ้านและร่วมมือกันอย่างสุดความสามารถในการจัดหาที่ตั้งโรงงาน เพราะได้พิจารณาเล็งเห็นแล้วว่าการเชื้อเชิญนักลงทุนให้มาก่อสร้างโรงงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาเมือง Nobeoka ในอนาคต

เมื่อมีบทสรุปที่จะให้สร้างโรงงานผลิตปุ๋ยใน Nobeoka และเมื่อมีการซื้อที่สำหรับตั้งโรงงานก็เริ่มเกิด “ข่าวลือ” แปลก ๆ แพร่ไปทั่วว่า “โรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ที่จะสร้างขึ้นจะเอาไนโตรเจนในอากาศไปใช้ ซึ่งจะทำให้อากาศที่อยู่ใกล้ Nobeoka จะเบาบางลง” “ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาจะปลิวกระจายไปทั่ว” บางคนถึงกับบอกว่า “อย่าขายที่ดิน”

เมื่อเรื่องนี้ถูกนำเสนอโดยสภาหมู่บ้าน Washitaro Kasahara สภาผู้แทนซึ่งจบการศึกษาจาก Tokyo Imperial University (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว หรือ The University of Tokyo) และเป็นอดีตหัวหน้าวิศวกรของเหมืองทองแดง Hibira ที่ดำเนินการโดยตระกูล Naito เป็นผู้ให้คำอธิบายที่เข้าใจง่ายและเป็นวิทยาศาสตร์โดยเสนอว่า “ถ้าดูโรงงาน Kagami ใน Kumamoto ก็จะเข้าใจได้” จึงได้จัดเยี่ยมชมโรงงานเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มตรวจสอบ หลังจากนั้นยังได้ตระเวรไปยังแต่ละเขตโดยให้ความสำคัญไปที่สภาพผู้ตรวจสอบเพื่อต้านกระแสการปล่อยข่าวลวงที่มุ่งร้ายจึงทำให้การซื้อขายที่ดินโรงงานเสร็จลุล่วงได้ภายในเวลาเพียงแค่ 4 เดือน

เกี่ยวกับการรณรงค์เชิญนักลงทุนให้สร้างโรงงานนี้ สามารถสัมผัสได้ถึงความตื่นตัวของอาสาสมัครในพื้นที่ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ที่คำนึงถึงบ้านเกิดและมองการณ์ไกลเพื่อให้เกิดการพัฒนา Nobeoka ในอนาคต
นอกจากนี้อาสาสมัครในพื้นที่ส่วนใหญ่เคยเรียนที่ Ryotensha (โรงเรียนเอกชนที่ตระกูล Naito บริหารงาน)

หากพิจารณาถึงความเป็นมาที่นำไปสู่การจัดตั้งโรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ใน Nobeoka อาจสังเกตเห็นว่าโรงงานปุ๋ยแห่งใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ
ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1922 ได้มีการสร้างโรงงานสังเคราะห์แอมโมเนียกระบวนการ Casale แห่งแรกของโลกขึ้นที่เมือง Nobeoka

  • สถานีรถไฟ Nobeoka ที่เปิดให้บริการในช่วงปี ค.ศ. 1910-20 (ที่มาจากหนังสือ 100 ทัศนียภาพของ Nobeoka ในอดีตและปัจจุบัน)

ยังมีการร้องขอให้เร่งดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟ และได้เปิดบริการทางรถไฟสายทุกสาย Nippou ของการรถไฟแห่งชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม ในปี ค.ศ. 1923 สายรถไฟ Nippou ทุกสายจึงช่วยเร่งและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโรงงานมากยิ่งขึ้นอีก

เมื่อเล่ามาจนถึงตอนนี้ เราก็จะได้เข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงเกิดโรงงานปุ๋ยซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเริ่มแรกของบริษัท Asahi Kasei ใน Nobeoka
ประการแรก คือ อยากผลิตปุ๋ยที่ราคาถูกที่มีคุณภาพดีกว่าของต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้การผลิตแอมโมเนียสังเคราะห์กระบวนการ Casale ซึ่งไม่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นจึงเหมาะสมที่สุด จึงจะสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ Kagami ใน Kumamoto เพื่อผลิตปุ๋ยที่นั่น

ประการที่สอง เงื่อนไขทางธรรมชาติที่พร้อมสรรพและอุดมสมบูรณ์ของ Nobeoka เหมาะสำหรับการผลิตปุ๋ย สามารถฝากความหวังไว้กับวัตถุดิบสำหรับผลิตปุ๋ย มีน้ำและอากาศที่อุดมสมบู
รณ์ และกำลังไฟฟ้าจำนวนมหาศาลจากการผลิตกระแสไฟฟ้าของแม่น้ำ Gokase ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในเวลานั้น

ประการที่สาม คือ มีที่ดินสำหรับจัดสร้างโรงงานและมีระบบในท้องถิ่นที่เอื้อและให้การยอมรับ ความตื่นตัวและสายตาที่กว้างไกลของอาสาสมัครในพื้นที่ที่มีต่อบ้านเกิดยังเอื้อให้เกิดการก่อสร้างโรงงาน และนำไปสู่การพัฒนา Nobeoka ในเวลาต่อมา

  • สถานีรถไฟ Nobeoka 1930

ความยากลำบากตั้งแต่หลังสร้างโรงงานจนถึงตอนเปิดดำเนินงาน

โรงงานสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1923 แต่มีปัญหามากมายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะเดินเครื่องจักรดำเนินงาน คือ ด้านอุปกรณ์เครื่องจักร เช่น เครื่อง compressor, หอคอยสำหรับการสังเคราะห์, circulator และเรื่องการฝึกอบรมสร้างวิศวกร
Noguchi ได้รวบรวมวิศวกรรุ่นใหม่ที่เป็นหัวกะทิจากทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แรงกดดันสูงถึง 750 หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ก็ไม่อาจจะมีชีวิตรอดได้ บรรดานักวิศวกรทุกคนต่างรู้และเตรียมใจร่ำลาครอบครัวไว้ก่อนที่จะไปทำงานที่โรงงาน พวกเขาเปรียบได้กับซามูไรอย่างแท้จริง

  • บรรดานักวิศวกรตอนเริ่มก่อตั้งบริษัท (ภาพถ่ายที่เชิงภูเขา Atago)

หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพวกเขาแล้ว การสังเคราะห์แอมโมเนียก็คงจะเกิดขึ้นจริงไม่ได้ ด้านอุปกรณ์เครื่องจักรก็ได้รับการปรับปรุงและทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประยุกต์และปรับเปลี่ยนจนกลายมาเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมในที่สุด

  • หอคอยสังเคราะห์แอมโมเนีย พื้นที่สำหรับกระบวนการ Casale ตอนติดตั้งช่วงแรก

ท่ามกลางความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เมื่อเวลา 16.30 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1923 ในตอนเย็นที่พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงก็คล้อยตกไปทางทิศตะวันตก ภายในโรงงานของบริษัท Nihon Chisso Hiryo ที่ Nobeoka (ปัจจุบันเป็นโรงงานผลิตยา) ที่เชิงเขา Atago มีเสียงร้องลั่นดังขึ้น

“ไชโย !” “เราได้แอมโมเนียแล้ว!” ทุกคนพากันกอดกันไปมา ใบหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและความสุข เป็นช่วงเวลาแห่งความตื้นตันใจที่เกิดแอมโมเนียสังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นภายใต้การอยู่ร่วมเป็นสักขีพยานโดย Dr. Luigi Casale ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้น

นี่เป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมเคมีในญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่สำหรับ Nobeoka บ้านเกิดของเรา

การขยายและพัฒนาโรงงาน

จากความสำเร็จในการสังเคราะห์แอมโมเนียของบริษัท Nihon Chisso Hiryo ที่ Nobeoka จึงได้ก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นใยสังเคราะห์ Bemberg, โรงงานผลิตใยสังเคราะห์เรยอน และโรงงานวัตถุระเบิด
Noguchi ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Japan Cotton Trading ได้ร่วมมือกับ Matazo Kita ก่อตั้งบริษัท Asahi Fabric ขึ้นมาในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1922

เรื่องมีอยู่ว่า Noguchi ได้ไปดูไหมเทียมเรยอนที่อิตาลีและกลับญี่ปุ่นพร้อมกับคาดหวังถึงคุณภาพที่ดี แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้สนใจฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเส้นไหมเทียมนี้ว่าจะมีอนาคตที่ดีเช่นไร
ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ 1924 มีข่าวว่าจะมีการขยายกิจการมาสร้างโรงงานเรยอนที่ Nobeoka ใน Nobeoka จึงเริ่มการรณรงค์เพื่อดึงดูดนักลงทุนทันที โดยเฉพาะ Kawasumi ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน Okatomi ให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันมาก Noguchi ได้เล็งเห็นความสำคัญของความสะอาดของน้ำในแม่น้ำ Hori และเซ็นสัญญาซื้อขายพื้นที่โรงงาน (396,000 ตารางเมตรในพื้นที่ Nakagawara) กับหมู่บ้าน Okatomi

  • โรงงานผลิตยาในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920
  • โรงงานผลิตยาในปัจจุบัน (ในปี 2000)
  • ก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นใยสังเคราะห์ Bemberg ในช่วงต้นสมัยโชวะ
  • โรงงานผลิตยาในปัจจุบัน

ได้เริ่มการก่อสร้างโรงงานได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดการก่อสร้างชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนดสร้าง
ต่อเนื่องจากบริษัทประสบกับปัญหาทางการเงิน
ชาวบ้านในหมู่บ้าน Okatomi ที่สูญเสียที่นาไปและประสบปัญหาฝืดเคืองในการดำรงชีพ จึงพากันร้องทุกข์ที่ศาลากลางเพื่อขอให้ดำเนินการก่อสร้างโรงงานต่อ

ขอเล่าเรื่องที่ Noguchi เดินทางไปนครนิวยอร์กในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1928 และทำสัญญาลงนามในข้อตกลงสิทธิบัตรสำหรับเส้นไหม Bemberg กับบริษัท Bemberg ของเยอรมนี และจะเริ่มก่อสร้าง Japan Bemberg Fiber ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 10 ล้านเยนใน 1929 ซึ่งเป็นปีถัดมา

ครั้งนี้มีข่าวว่าจะสร้างโรงงาน Bemberg ในหมู่บ้าน Okatomi แต่แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นหมู่บ้าน Tsunetomi
หมู่บ้าน Tsunetomi ตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ที่จะมีการขยายและสร้างโรงงาน Bemberg ที่หมู่บ้านตนแต่เงื่อนไขของ Noguchi ที่เสนอไว้คือการเสนอให้ที่ยอมให้ก่อตั้งโรงงานแบบให้เปล่า เป็นไปไม่ได้ที่หมู่บ้านจะมีเงินมากมายขนาดนั้น ดังนั้น Noguchi จึงให้ข้อเสนออีกข้อหนึ่งว่า
“ถ้าหมู่บ้าน Tsunetomi หมู่บ้าน Okatomi และตำบล Nobeoka รวมอยู่ภายใต้การบริหารงานเดียวกันก่อนเมษายนปี ค.ศ. 1930 ที่จะมาถึง ผมจะบริจาคเงินเพื่อเป็นค่าที่ดินสำหรับก่อสร้างโรงงานให้”
ในเวลานั้น Nobeoka ยังคงถูกแบ่งออกเป็น 1 ตำบลกับ 2 หมู่บ้าน คือ ตำบล Nobeoka (เขตพื้นที่ Kawanaka) หมู่บ้าน Okatomi (เขตพื้นที่ Kawakita) และหมู่บ้าน Tsunetomi (เขตพื้นที่ Kawaminami) การปกครองที่แยกออกจากกัน 3 ส่วนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่สะดวกสำหรับ Noguchi ที่ตั้งใจจะวางแผนจะสร้างเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่นี้

  • โรงงานเรยอนในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920
  • โรงงานเรยอนช่วงปี ค.ศ. 2000 ปิดดำเนินการ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2001

คำพูดเพียงไม่กี่คำของ Noguchi ได้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการรวมการปกครอง และเกิด เมือง Nobeoka ใหม่เมื่อเดือนเมษายนในปี ค.ศ. 1930 และได้เปลี่ยนจากตำบลเป็นอำเภอในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1933 ในอีก 3 ปีถัดมา
โรงงาน Bemberg ได้ก่อสร้างเสร็จเมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1931 ตามแผนที่วางไว้ โรงงานเรยอนที่หยุดการก่อสร้างชั่วคราวก็ได้ดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จและเปิดดำเนินงานในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1933
พนักงานส่วนใหญ่ที่มาทำงานที่โรงงานเรยอน ไม่ใช่คนในอำเภอ Nobeoka เท่านั้น แต่ยังมาจากทั้งในและนอกจังหวัด และมีร้านค้าต่าง ๆ เปิดโดยรอบ จึงทำให้บริเวณรอบโรงงานซึ่งแต่เดิมเคยเป็นบริเวณที่เงียบเหงามีบ้านเพียงแค่สามหลัง ก็กลับครึกครื้นและเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา

Noguchi เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับพนักงาน จัดสร้างหอพักพนักงานหญิงสูง 3 ชั้นที่โรงงาน Bemberg และโรงงานเรยอน มีลักษณะเป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก มีโถส้วมชนิดที่ใช้ระบบน้ำตอนทำความสะอาดสิ่งปฏิกูล ซึ่งถือว่าเป็นหอพักหญิงที่มีความทันสมัย
พนักงานหญิงหลายคนจากทั้งในและนอกจังหวัดใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ในตอนกลางคืนและวันหยุดยังมีจัดหลักสูตรฝึกอบรมต่าง ๆ เช่น การชงชา การจัดดอกไม้ หลักสูตรการทำอาหาร นับว่าสิ่งที่แปลกใหม่หาได้ยากในสมัยนั้น

  • โรงงานวัตถุระเบิดในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 หรือโรงงานผลิตยาในปัจจุบัน
  • โรงงานผลิตยาในปัจจุบัน

ในปี ค.ศ. 1948 โรงเรียนประถมศึกษา Asashi ได้แยกตัวออกจากโรงเรียนประถมศึกษา Okatomi และในปี ค.ศ. 1958 โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น Asashi ได้แยกตัวออกจากโรงเรียนมัธยมต้น Okatomi ช่วงที่มีนักเรียนมากที่สุด โรงเรียนประถม Asashi จะมีนักเรียนประมาณ 1,800 คนและมีนักเรียนเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น Asashi ประมาณ 900 คน หรือ 30-40% เป็นบุตรของพนักงานเข้าทำงานที่บริษัท Asahi Kasei ที่ Noguchi ได้สร้างขึ้น
โรงเรียนประถมศึกษา Asahi และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น Asahi ตั้งชื่อตามชื่อของบริษัท Asahi Kasei จะเห็นได้ว่า บริษัท Asahi Kasei ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Noguchi มีอิทธิพลอย่างมากต่อเมือง Nobeoka และการศึกษาของ Nobeoka

ในช่วงก่อนและหลังการก่อสร้างโรงงาน Bemberg ได้ก่อสร้าง บริษัท Nippon Nitrogen Explosives (ปัจจุบันเป็นโรงงานผลิตยา) ขึ้นในหมู่บ้าน Tomi และเริ่มการผลิตวัตถุระเบิด
บริษัท Asahi Kasei ขยายโรงงานด้วยการบริหารการจัดการที่หลากหลายซึ่งเป็นผลพลอยได้
ต่าง ๆ ที่เกิดจากแอมโมเนียสังเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นครั้งแรก หลังจากขยายโรงงานแอมโมเนียได้เพียง
แค่ 10 ปีเศษ เริ่มโรงงานแอมโมเนียที่ Nobeoka พัฒนาจนกลายมาเป็นกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ยักษ์
ตั้งแต่โรงงานสารเคมีวัตถุดิบไปจนถึงสิ่งทอและวัตถุระเบิด ฯลฯ

ในปี ค. ศ. 1933 บริษัท Japan Bemberg Fiber, บริษัท Asahi Fabric และ Nobeoka Ammonia Fiber ทั้ง 3 บริษัทได้รวมกิจการเข้าด้วยกันและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Asahi Bemberg Fiber และเกิดบริษัทไหมสังเคราะห์ที่มีทุน 46 ล้านเยน เป็นบรรพบุรุษของบริษัท Asahi Kaseiในปัจจุบัน

Nobeoka มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากเนื่องมาจากการขยายและการพัฒนาของโรงงาน จากเดิมที่เป็น “เมือง Nobeoka ที่อยู่ใกล้บริเวณปราสาท” กลายมาเป็น “เมืองอุตสาหกรรม Nobeoka”อย่างรวดเร็วมีประชากรจำนวน 40% มาจากเป็นกลุ่มบุคลากรที่ทำงานในโรงงานในปี ค.ศ. 1940

“คิดถึงจัง เสียงระฆังของชิโระยามะในวันวานตอนเยาว์วัย” เป็นบทกวีของนักท้องถิ่นที่ชื่อ Bokusui Wakayama
เสียงระฆังที่ Bokusui ได้ยินเป็นระฆังที่ติดไว้ที่เนินเขาชิโระยามะ “คุณยายที่ตีระฆัง” ที่เนินภูเขาดังกล่าว คือ คุณยายโคเมะ อิมะดะ (Kome Inada) ที่เป็นบุคคลที่คนในอำเภอรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณยายโคเมะได้เสียชีวิตไปตอนอายุ 71 ปีในปี ค.ศ. 1971 ตลอดเวลา 51 ปี ทุกวันตอนตีระฆังที่เนินเขาชิโระยามะก็จะมองลงมาที่เมือง Nobeoka ที่อยู่ด้านล่าง (ซากปราสาท Nobeoka สูง 53 เมตร) และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองอย่างประจักษ์ชัดด้วยตนเอง กล่าวได้ว่าเป็นพยานที่มีชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าว
คุณยายโคเมะได้เล่าไว้ว่า “โนเบะโอคะเปลี่ยนไปแล้ว ตอนที่ฉันเพิ่งจะเริ่มตีระฆังยังเป็นเมืองเล็ก ๆ และยังไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน มีเพียงทุ่งข้าวสาลี ท้องฟ้าสีดำสนิทในตอนกลางคืน ดวงดาวระยิบระยับสวยงาม ต่อมาเริ่มมีโรงงานอยู่ตรงโน้นตรงนี้ มีปล่องไฟสูงและไม่หลงเหลือเค้าภาพเดิมแล้ว ... มีแสงไฟนีออนของป้ายโรงงาน ในฤดูร้อนที่มีแสงสีไฟสวยงาม ยิ่งดูก็ยิ่งหลงใหล ...”

คำบอกเล่าของคุณยายท่านนี้ถือเป็นประจักษ์พยานอันมีค่าเกี่ยวกับเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเมือง Nobeoka ทั้งช่วงก่อนและหลังการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ นับตั้งแต่โรงงานสังเคราะห์แอมโมเนียแห่งใหม่เริ่มต้นที่เมือง Nobeoka ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1923
จะเห็นได้ว่าเมือง Nobeoka ซึ่งเคยถูกกล่าวถึงในแนวเสียดสีไว้ในนวนิยายเรื่อง Botchan โดยนักเขียนที่ชื่อ Soseki Natsume ว่าเป็น “สถานที่ที่มีลิงและผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างละครึ่ง” กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่